วันอังคารที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

Diary Note 23 March 2016

Diary Note No.9


ไม่มีการเรียนการสอน เนื่องจากสอบกลางภาคเก็บคะแนน ของวิชาการจัดประสบการณ์การศึกษาแบบเรียนรวมสำหรับเด็กปฐมวัย

Diary Note 16 March 2016

Diary Note No.8


ไม่มีการเรียนการสอน เนื่องจากสอบกลางภาคเก็บคะแนน ของวิชาการจัดประสบการณ์การศึกษาแบบเรียนรวมสำหรับเด็กปฐมวัย

วันศุกร์ที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

Diary Note 26 May 2016

Diary Note No.12


โปรแกรมการศึกษาเฉพาะบุคคล (Individualized Education Program)

แผน IEP

  • แผนการศึกษาที่ร่างขึ้น
  • เพื่อให้เด็กพิเศษแต่ละคนได้รับการสอน และการช่วยเหลือฟื้นฟูให้เหมาะสมกับความต้องการและความสามารถของเขา
  • ด้วยการจัดสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้ของเด็ก
  • โดยระบุเวลาเริ่มต้นและสิ้นสุดการใช้แผนและวิธีการวัดประเมินผลเด็ก

การเขียนแผน IEP
  • คัดแยกเด็กพิเศษ
  • ครูต้องรู้ว่าเด็กมีปัญหาอะไร
  • ประเมินพัฒนาการเด็กเป็นระยะ จะทำให้ทราบว่าจะต้องเริ่มช่วยเหลือเด็กจากจุดไหน ในทักษะใด
  • เด็กสามารถทำอะไรได้  / เด็กไม่สามารถทำอะไรได้
  • แล้วจึงเริ่มเขียนแผน IEP

IEP ประกอบด้วย
  • ข้อมูลส่วนตัวของเด็ก
  • ระบุว่าเด็กมีความจำเป็นต้องได้รับบริการพิเศษอะไรบ้าง
  • การระบุความสามารถของเด็กในขณะปัจจุบัน
  • เป้าหมายระยะยาวประจำปี / ระยะสั้น
  • ระบุวัน เดือน ปี ที่เริ่มทำการสอน และคาดคะเนการสิ้นสุดของแผน
  • วิธีการประเมินผล

ประโยชน์ต่อเด็ก
  • ได้เรียนรู้ตามความสามารถของตน
  • ได้มีโอกาสพัฒนาตามศักยภาพของตน
  • ได้รับการศึกษาและฟื้นฟูอย่างต่อเนื่องและเหมาะสม
  • ถ้าเด็กเข้าเรียนในโรงเรียนจะไม่ถูกจัดเข้าชั้นเรียนเฉยๆ

ประโยชน์ต่อครู
  • เป็นแนวทางการจัดการเรียนการสอนที่ตรงกับความสามารถและความต้องการของเด็ก
  • เป็นแนวทางในการเลือกสื่อการสอนและวิธีการสอนให้เหมาะกับเด็ก
  • ปรับเปลี่ยนได้เมื่อความต้องการเปลี่ยนแปลงไป
  • เป็นแนวทางในการประเมินผลการเรียนและการเขียนรายงานพัฒนาการความก้าวหน้าของเด็ก
  • ตรวจสอบและประเมินได้เป็นระยะ

ประโยชน์ต่อผู้ปกครอง
  • ได้มีส่วนร่วมในการจัดทำแผนการเรียนรายบุคคล เพื่อให้เด็กได้พัฒนาความสามารถได้สูงสุดตามศักยภาพ
  • ทราบร่วมกับครูว่าจะฝึกลูกของตนอย่างไร
  • เกิดความร่วมมือในการพัฒนาเด็ก มีการติดต่อสื่อสารกันอย่างต่อเนื่อง และใกล้ชิดระหว่างบ้านกับโรงเรียน

ขั้นตอนการจัดทำแผนการศึกษารายบุคคล
1. การรวบรวมข้อมูล
  • รายงานทางการแพทย์
  • รายงานการประเมินด้านต่างๆ
  • บันทึกจากผู้ปกครอง ครู และผู้ที่เกี่ยวข้อง

2. การจัดทำแผน
  • ประชุมผู้ที่เกี่ยวข้อง
  • กำหนดจุดมุ่งหมายระยะยาวและระยะสั้น
  • กำหนดโปรแกรมและกิจกรรม
  • จะต้องได้รับการรับรองแผนการศึกษาเฉพาะบุคคลจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง

การกำหนดจุดมุ่งหมาย
  • ระยะยาว
  • ระยะสั้น

จุดมุ่งหมายระยะยาว
  • กำหนดให้ชัดเจน แม้จะกว้าง
  • น้องนุ่นช่วยเหลือตนเองได้
  • น้องดาวร่วมมือกับผู้อื่นได้ดีขึ้น
  • น้องริวเข้ากับเพื่อนคนอื่นๆได้

จุดมุ่งหมายระยะสั้น
  • ตั้งให้อยู่ภายใต้จุดมุ่งหมายหลัก
  • เป็นพฤติกรรมที่เด็กสามารถทำได้ในระยะ 2-3 วัน หรือ 2-3 สัปดาห์
  • จะสอนใคร
  • พฤติกรรมอะไร
  • เมื่อไหร่ ที่ไหน (ที่พฤติกรรมนั้นจะเกิด)
  • พฤติกรรมนั้นต้องดีขนาดไหน

ใคร                         มุก
อะไร                       กระโดดขาเดียวได้       
เมื่อไหร่ / ที่ไหน        กิจกรรมกลางแจ้ง
ดีขนาดไหน              กระโดดได้ขาละ 5 ครั้ง
                             ในเวลา 30 วินาที

ใคร                        บอย
อะไร                      นั่งเงียบๆโดยไม่พูดคุย       
เมื่อไหร่ / ที่ไหน        ระหว่างครูเล่านิทาน
ดีขนาดไหน             ช่วงเวลาการเล่านิทาน 10 - 15 นาที
                            เป็นเวลา 5 วันติดต่อกัน

3. การใช้แผน
  • เมื่อแผนเสร็จสมบูรณ์ ครูจะนำไปใช้โดยจะใช้แผนระยะสั้น
  • นำมาทำเป็นจุดประสงค์เชิงพฤติกรรม
  • แยกย่อยขั้นตอนการสอนให้เหมาะกับเด็ก
  • จัดเตรียมสื่อและจัดกิจกรรมการเรียนการสอน
  • ต้องมีการสังเกตเก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับเด็กและความสามารถ โดยคำนึงถึง
  • ขั้นตอนพัฒนาการของเด็กปกติ
  • ตัวชี้วัดพื้นฐานที่เกี่ยวกับปัญหาของพัฒนาการเด็ก
  • อิทธิพลของสิ่งแวดล้อมของเด็กและผู้ใหญ่ที่มีผลต่อการแสดงออกของเด็ก

4. การประเมินผล
  • โดยทั่วไปจะประเมินภาคเรียนละครั้ง หรือย่อยกว่านั้น
  • ควรมีการกำหนดวิธีการประเมิน และเกณฑ์วัดผล

** การประเมินในแต่ละทักษะหรือแต่ละกิจกรรม
            อาจใช้วิธีวัดและกำหนดเกณฑ์แตกต่างกัน**

การจัดทำ IEP






ตัวอย่างแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล








กิจกรรมวาดรูประบายสีวงกลม ทายนิสัย





กิจกรรมรางวัลเด็กดี

ความรู้ที่ได้รับ
  • ได้รับความรู้ในเรื่องของแผน IEP ว่าเป็นอย่างไร รู้ถึงวิธีการเขียนแผน IEP
ประเมินเพื่อนร่วมห้อง
  • เพื่อนในห้องมีความตั้งใจเรียน มีคุย และกินขนมกันบ้างเล็กน้อย มีเพื่อนมาเรียนสายเป็นบางส่วน
ประเมินอาจารย์
  • อาจารย์เข้าสอนตรงเวลา มีเทคนิคการสอนที่หลากหลาย มีกิจกรรมต่างๆ ให้นักศึกษาได้ทำ อาจารย์สอนเข้าใจง่าย มีการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาช่วยสอน


วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

Diary Note 20 May 2016

Diary Note No.11


การส่งเสริมพัฒนาการและการปรับพฤติกรรม เด็กปฐมวัยที่มีความต้องการพิเศษ
  • เพื่อให้เด็กสามารถช่วยเหลือตนเองได้ในชีวิตประจำวัน 
  • ใช้ชีวิตอยู่ในสังคมได้ใกล้เคียงกับคนปกติมากที่สุด  
  • เน้นการดูแลแบบองค์รวม (Holistic Approach)
1. การฟื้นฟูสมรรถภาพทางการศึกษา
  • เพิ่มทักษะพื้นฐานด้านสังคม การสื่อสาร และทักษะทางความคิด 
  • เกิดผลดีในระยะยาว 
  • เน้นการเตรียมความพร้อมเพื่อให้เด็กสามารถใช้ในชีวิตประจำวันจริงๆแทนการฝึกแต่เพียงทักษะทางวิชาการ
  • แผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล (Individualized Education Program; IEP)
  • โรงเรียนการศึกษาพิเศษเฉพาะทาง โรงเรียนเรียนร่วม ห้องเรียนคู่ขนาน
2.การฟื้นฟูสมรรถภาพทางสังคม
  • การฝึกฝนทักษะในชีวิตประจำวัน (Activity of Daily Living Training)
  • การฝึกฝนทักษะสังคม (Social Skill Training)
  • การสอนเรื่องราวทางสังคม (Social Story
3. การบำบัดทางเลือก
  • การสื่อความหมายทดแทน (AAC)
  • ศิลปกรรมบำบัด (Art Therapy)
  • ดนตรีบำบัด (Music Therapy)
  • การฝังเข็ม (Acupuncture)
  • การบำบัดด้วยสัตว์ (Animal Therapy)
การสื่อความหมายทดแทน (Augmentative and Alternative Communication ; AAC)
  • การรับรู้ผ่านการมอง (Visual Strategies) 
  • โปรแกรมแลกเปลี่ยนภาพเพื่อการสื่อสาร (Picture Exchange Communication System; PECS) 
  • เครื่องโอภา (Communication Devices) 
  • โปรแกรมปราศรัย
Picture Exchange Communication System (PECS)



บทบาทของครู
  • ตำแหน่งการนั่งของเด็กไม่ควรให้นั่งติดหน้าต่างหรือประตู 
  • ให้เด็กนั่งแถวหน้าสุดใกล้โต๊ะครู
  • จัดให้เด็กนั่งติดกับนักเรียนที่ไม่ค่อยเล่น ไม่ค่อยคุยในระหว่างเรียน
  • ให้เด็กมีกิจกรรม เปลี่ยนอิริยาบถบ้าง 
การส่งเสริมทักษะต่างๆของเด็กพิเศษ
1. ทักษะทางสังคม
  • เด็กพิเศษที่ขาดทักษะทางสังคม ไม่ได้มีสาเหตุมาจากการพ่อแม่
  • การอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี ไม่ได้เป็นเครื่องรับประกันว่าเด็กจะมีพัฒนาการต่างๆอย่างมีความสุข
กิจกรรมการเล่น
  • การเล่นเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งต่อการเรียนรู้ทักษะทางสังคม
  • เด็กจะสนใจกันเองโดยอาศัยการเล่นเป็นสื่อ
  • ในช่วงแรกๆ เด็กจะไม่มองเด็กคนอื่นเป็นเพื่อน  แต่เป็นอะไรบางอย่างที่น่าสำรวจ สัมผัส ผลัก ดึง
ยุทธศาสตร์การสอน
  • เด็กพิเศษหลายๆคนไม่รู้วิธีเล่น  ไม่รู้ว่าจะเล่นอย่างไร
  • ครูเริ่มต้นจากการสังเกตเด็กแต่ละคนอย่างเป็นระบบ
  • จะบอกได้ว่าเด็กมีทักษะการเล่นแบบใดบ้าง
  • ครูจดบันทึก
  • ทำแผน IEP
การกระตุ้นการเลียนแบบและการเอาอย่าง
  • วางแผนกิจกรรมการเล่นไว้หลายๆอย่าง
  • คำนึงถึงเด็กทุกๆคน
  • ให้เด็กเล่นเป็นกลุ่มเล็กๆ 2-4 คน
  • เด็กปกติทำหน้าที่เหมือน “ครู” ให้เด็กพิเศษ
ครูปฏิบัติอย่างไรขณะเด็กเล่น
  • อยู่ใกล้ๆ และเฝ้ามองอย่างสนใจ
  • ยิ้มและพยักหน้าให้ ถ้าเด็กหันมาหาครู
  • ไม่ชมเชยหรือสนใจเด็กมากเกินไป
  • เอาวัสดุอุปกรณ์มาเพิ่ม เพื่อยืดเวลาการเล่น
  • ให้ความคิดเห็นที่เป็นแรงเสริม
การให้แรงเสริมทางสังคมในบริบทที่เด็กเล่น
  • ครูพูดชักชวนให้เด็กร่วมเล่นกับเพื่อน
  • ทำโดย “การพูดนำของครู”
ช่วยเด็กทุกคนให้รู้กฎเกณฑ์
  • ไม่ง่ายสำหรับเด็กพิเศษ
  • การให้โอกาสเด็ก
  • เด็กพิเศษต้องเรียนรู้สิทธิต่างๆเหมือนเพื่อนในห้อง
  • ครูต้องไม่ใช้ความบกพร่องของเด็กพิเศษเป็นเครื่องต่อรอง
2. ทักษะภาษา
การวัดความสามารถทางภาษา
  • เข้าใจสิ่งที่ผู้อื่นพูดไหม
  • ตอบสนองเมื่อมีคนพูดด้วยไหม
  • ถามหาสิ่งต่างๆไหม
  • บอกเล่าเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นไหม
  • ใช้คำศัพท์ของตัวเองกับเด็กคนอื่นไหม
การออกเสียงผิด / พูดไม่ชัด.การพูดตกหล่น
  • การใช้เสียงหนึ่งแทนอีกเสียง
  • ติดอ่าง
การปฏิบัติของครูและผู้ใหญ่
  • ไม่สนใจการพูดซ้ำหรือการออกเสียงไม่ชัด
  • ห้ามบอกเด็กว่า  “พูดช้าๆ”   “ตามสบาย”   “คิดก่อนพูด”
  • อย่าขัดจังหวะขณะเด็กพูด
  • อย่าเปลี่ยนการใช้มือข้างที่ถนัดของเด็ก
  • ไม่เปรียบเทียบการพูดของเด็กกับเด็กคนอื่น
  • เด็กที่พูดไม่ชัดอาจเกี่ยวข้องกับการได้ยิน
ทักษะพื้นฐานทางภาษา
  • ทักษะการรับรู้ภาษา
  • การแสดงออกทางภาษา
  • การสื่อความหมายโดยไม่ใช้คำพูด
พฤติกรรมตอบสนองการแสดงออกทางภาษา


พฤติกรรมเริ่มการแสดงออกของเด็ก



ความรับผิดชอบของครูปฐมวัย
  • การรับรู้ภาษามาก่อนการแสดงออกทางภาษา
  • ภาษาที่ไม่ใช่คำพูดมาก่อนภาษาพูด
  • ให้เวลาเด็กได้พูด
  • คอยให้เด็กตอบ (ชี้แนะหากจำเป็น)
  • เป็นผู้ฟังที่ดีและโตต้อบอย่างฉับไว (ครูไม่พูดมากเกินไป)
  • เด็กไม่ได้เรียนรู้ภาษาจากการฟังเพียงอย่างเดียว
  • ให้เด็กทำกิจกรรมกลุ่ม เด็กพิเศษได้มีแบบอย่างจากเพื่อน
  • กระตุ้นให้เด็กบอกความต้องการของตนเอง (ครูไม่คาดการณ์ล่วงหน้า)
  • เน้นวิธีการสื่อความหมายมากกว่าการพูด
  • ใช้คำถามปลายเปิด
  • เด็กพิเศษรับรู้มากเท่าไหร่ ยิ่งพูดได้มากเท่านั้น
  • ร่วมกิจกรรมกับเด็ก
การสอนตามเหตุการณ์ (Incidental Teaching)


3. ทักษะการช่วยเหลือตนเอง


"เรียนรู้การดำรงชีวิตโดยอิสระให้มากที่สุด การกินอยู่  การเข้าห้องน้ำ การแต่งตัว กิจวัตรต่างๆในชีวิตประจำวัน"

การสร้างความอิสระ
  • เด็กอยากช่วยเหลือตนเอง
  • อยากทำงานตามความสามารถ
  • เด็กเลียนแบบการช่วยเหลือตนเองจากเพื่อน เด็กที่โตกว่า และผู้ใหญ่
ความสำเร็จเป็นสิ่งสำคัญ
  • การได้ทำด้วยตนเอง
  • เชื่อมั่นในตนเอง
  • เรียนรู้ความรู้สึกที่ดี
หัดให้เด็กทำเอง
  • ไม่ช่วยเหลือเกินความจำเป็น (ใจแข็ง)
  • ผู้ใหญ่มักทำสิ่งต่างๆให้เด็กมากเกินไป
  • ทำให้แม้กระทั่งสิ่งที่เด็กสามารถทำได้เองหากให้เวลาเขาทำ
  • “ หนูทำช้า ”  “ หนูยังทำไม่ได้ ” 
จะช่วยเมื่อไหร่
  • เด็กก็มีบางวันที่ไม่อยากทำอะไร , หงุดหงิด , เบื่อ , ไม่ค่อยสบาย
  • หลายครั้งเด็กจะขอความช่วยเหลือในสิ่งที่ได้เรียนรู้ไปแล้ว
  • เด็กรู้สึกว่ายังมีผู้ใหญ่ที่พึ่งได้ แต่ต้องได้รับความช่วยเหลือเฉพาะสิ่งที่เด็กต้องการ
  • มักช่วยเด็กในช่วงกิจกรรม
ทักษะการช่วยเหลือตนเอง (อายุ 2-3 ปี)


ทักษะการช่วยเหลือตนเอง (อายุ 3-4 ปี)


ทักษะการช่วยเหลือตนเอง (อายุ 4-5 ปี)


ทักษะการช่วยเหลือตนเอง (อายุ 5-6 ปี)


ลำดับขั้นในการช่วยเหลือตนเอง
  • แบ่งทักษะการช่วยเหลือตนเองออกเป็นขั้นย่อยๆ
  • ย่อยงาน 
  • เรียงลำดับตามขั้นตอน
การเข้าส้วม
  • เข้าไปในห้องส้วม
  • ดึงกางเกงลงมา
  • ก้าวขึ้นไปนั่งบนส้วม
  • ปัสสาวะหรืออุจจาระ
  • ใช้กระดาษชำระเช็ดก้น
  • ทิ้งกระดาษชำระในตะกร้า
  • กดชักโครกหรือตักน้ำราด
  • ดึงกางเกงขึ้น
  • ล้างมือ
  • เช็ดมือ
  • เดินออกจากห้องส้วม
การวางแผนทีละขั้น
  • แยกกิจกรรมเป็นขั้นย่อยๆให้มากที่สุด


สรุป
  • ครูต้องพยายามให้เด็กทำสิ่งต่างๆด้วยตนเอง
  • ย่อยงานแต่ละอย่างเป็นขั้นๆ
  • ความสำเร็จขั้นเล็กๆนำไปสู่ความสำเร็จทั้งมวล
  • ช่วยให้เด็กมีความมั่นใจในตนเอง
  • เด็กพึ่งตนเองได้ รู้สึกเป็นอิสระ
4. ทักษะพื้นฐานทางการเรียน
เป้าหมาย
  • การช่วยให้เด็กแต่ละคนเรียนรู้ได้  
  • มีความรู้สึกดีต่อตนเอง
  • เด็กรู้สึกว่า “ฉันทำได้”
  • พัฒนาความกระตือรือร้น อยากรู้อยากเห็น
  • อยากสำรวจ อยากทดลอง
ช่วงความสนใจ
  • ต้องมีก่อนการเรียนรู้อื่นๆ
  • จดจ่อต่อกิจกรรมในช่วงเวลาหนึ่งได้นานพอสมควร
การเลียนแบบ

การทำตามคำสั่ง คำแนะนำ
เด็กได้ยินสิ่งที่ครูพูดชัดหรือไม่
เด็กเข้าใจคำศัพท์ที่ครูใช้หรือไม่
คำสั่งยุ่งยากซับซ้อนไปหรือไม่

การรับรู้ การเคลื่อนไหว
  • ได้ยิน เห็น สัมผัส ลิ้มรส กลิ่น
  • ตอบสนองอย่างเหมาะสม
การควบคุมกล้ามเนื้อเล็ก
  • การกรอกน้ำ ตวงน้ำ
  • ต่อบล็อก
  • ศิลปะ
  • มุมบ้าน
  • ช่วยเหลือตนเอง
ตัวอย่างอุปกรณ์สำหรับเด็กพิเศษ
  • ลูกปัดไม้ขนาดใหญ่
  • รูปต่อที่มีจำนวนชิ้นไม่มาก
ความจำ
  • จากการสนทนา
  • เมื่อเช้าหนูทานอะไร
  • แกงจืดที่เรากินใส่อะไรบ้าง
  • จำตัวละครในนิทาน
  • จำชื่อครู เพื่อน
  • เล่นเกมทายของที่หายไป
การวางแผนการเตรียมพื้นฐานทางวิชาการ
  • จัดกลุ่มเด็ก
  • เริ่มต้นเรียนรู้โดยใช้ช่วงเวลาสั้นๆ
  • ให้งานเด็กแต่ละคนอย่างชัดเจนว่าต้องทำที่ไหน
  • ติดชื่อเด็กตามที่นั่ง
  • ใช้อุปกรณ์ที่เด็กคุ้นเคย
  • ใช้อุปกรณ์ที่เด็กคุ้นเคย
  • บันทึกว่าเด็กชอบอะไรที่สุด
  • รู้ว่าเมื่อไหร่จะเปลี่ยนงาน
  • มีอุปกรณ์ไว้สับเปลี่ยนใกล้มือ
  • เตรียมทุกอย่างให้พร้อมก่อนเด็กมาถึง
  • พูดในทางที่ดี
  • จัดกิจกรรมให้เด็กได้เคลื่อนไหว
  • ทำบทเรียนให้สนุก
ความรู้ที่ได้รับ
  • ได้รับความรู้ในเรื่องของการส่งเสริมพัฒนาการและการปรับพฤติกรรม เด็กปฐมวัยที่มีความต้องการพิเศษ การใช้สื่อ บทบาทของครู การย่อยงาน
ประเมินเพื่อนร่วมห้อง
  • เพื่อนมีความตั้งใจเรียน แต่มีบางส่วนที่ยังพูดคุยระหว่างเรียน
ประเมินอาจารย์
  • อาจารย์สอนสนุกเข้าใจง่าย มีการให้เด็กทำกิจกรรมระหว่างเรียน

วันอังคารที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2559

Diary Note 30 March 2016

Diary Note No.10

รูปแบบการจัดการศึกษา

  1. การศึกษาปกติทั่วไป (Regular Education)
  2. การศึกษาพิเศษ (Special Education)
  3. การศึกษาแบบเรียนร่วม  (Integrated Education หรือ Mainstreaming)
  4. การศึกษาแบบเรียนรวม  (Inclusive Education)


การจัดการศึกษาสำหรับเด็กที่มีความต้องการพิเศษ 

  • เด็กที่มีความต้องการพิเศษทุกคนสามารถเรียนรู้และพัฒนาได้ถ้าได้รับโอกาสในการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับความต้องการพิเศษของเขา

ความหมายของการศึกษาแบบเรียนร่วม (Integrated Education หรือ Mainstreaming)
  • การจัดให้เด็กพิเศษเข้าไปในระบบการศึกษาทั่วไป 
  • มีกิจกรรมที่ให้เด็กพิเศษกับเด็กทั่วไปได้ทำร่วมกัน
  • ใช้ช่วงเวลาช่วงใดช่วงหนึ่งในแต่ละวัน
  • ครูปฐมวัยและครูการศึกษาพิเศษร่วมมือกัน
การเรียนร่วมบางเวลา (Integration) 
  • การจัดให้เด็กพิเศษเรียนในโรงเรียนปกติในบางเวลา
  • เด็กพิเศษได้มีโอกาสแสดงออก และมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับเด็กปกติ 
  • เป็นเด็กพิเศษที่มีความพิการระดับปานกลางถึงระดับมาก จึงไม่อาจเรียนร่วมเต็มเวลาได้ 
การเรียนร่วมเต็มเวลา (Mainstreaming) 
  • การจัดให้เด็กพิเศษเรียนในโรงเรียนปกติตลอดเวลาที่เด็กอยู่ในโรงเรียน 
  • เด็กพิเศษได้รับการจัดกระบวนการเรียนรู้และบริการนอกห้องเรียนเหมือนเด็กปกติ
ความหมายของการศึกษาแบบเรียนรวม (Inclusive Education)
  • การศึกษาสำหรับทุกคน
  • รับเด็กเข้ามาเรียนรวมกันตั้งแต่เริ่มเข้ารับการศึกษา 
  • จัดให้มีบริการพิเศษตามความต้องการของแต่ละบุคคล
Wilson , 2007
  • การจัดการเรียนการสอนที่ยึดปรัชญาของการอยู่รวมกัน (Inclusion) เป็นหลัก 
  • การสอนที่ดี เป็นการสอนที่ครูกับนักเรียนช่วยกันให้ทุกคนเป็นสมาชิกที่ดีของชุมชน
  • กิจกรรมทุกชนิดที่จะนำไปสู่การสอนที่ดี (Good Teaching) ต้องคิดอย่างรอบคอบเพื่อหาหนทางให้นักเรียนทุกคนสามารถเรียนได้ 
  • เป็นการกำหนดทางเลือกหลายๆ ทาง
 "Inclusive Education is Education for all, It involves receiving people at the beginning of their education, with provision of additional services needed by each individual"

สรุปความหมายของการศึกษาแบบเรียนรวม
  • เป็นการจัดการศึกษาที่จัดให้เด็กพิเศษเข้ามาเรียนรวมกับเด็กปกติ โดยรับเข้ามาเรียนรวมกัน ตั้งแต่เริ่มเข้ารับการศึกษาและจัดให้มีบริการพิเศษตามความต้องการของแต่ละบุคคล
  • เด็กพิเศษทุกคนสามารถเรียนรู้และพัฒนาได้ถ้าได้รับโอกาสในการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับความต้องการพิเศษของเขา
  • เกิดจากปรัชญาการศึกษาที่กล่าวไว้ว่า การศึกษาสำหรับทุกคน  (Education for All)
  • การเรียนรวม เป็นแนวคิดทางการศึกษาอย่างหนึ่งที่โรงเรียนจะต้องจัดการศึกษาให้กับเด็กทุกคนโดยไม่มีการแบ่งแยกว่าเด็กคนใดเป็นเด็กปกติ หรือเด็กคนใดเป็นเด็กที่มีความต้องการพิเศษ 
  • เด็กเลือกโรงเรียนไม่ใช่โรงเรียนเลือกเด็ก
  • เด็กทุกคนที่ผู้ปกครองพาเข้ามาโรงเรียนทางโรงเรียนจะต้องรับเด็กไว้ และจะต้องจัดการศึกษาให้อย่างเหมาะสม และดำเนินการเรียนในลักษณะ “รวมกัน” ที่ทุกคนต่างเป็นส่วนหนึ่ง ของสังคม ทุกคนยอมรับซึ่งกันและกัน 
  • ทุกคนยอมรับว่ามี ผู้พิการ อยู่ในสังคมและเขาเหล่านั้นต่างก็เป็นส่วนหนึ่งของสังคมที่จะต้องใช้ชีวิตร่วมกันกับคนปกติ โดยไม่มีการแบ่งแยก
ความสำคัญของการศึกษาแบบเรียนรวม สำหรับเด็กปฐมวัย
  • ปฐมวัยเป็นช่วงเวลาสำคัญที่สุดของการเรียนรู้
  • “สอนได้”
  • เป็นการจัดการศึกษาสำหรับเด็กพิเศษที่มีขีดจำกัดน้อยที่สุด
บทบาทครูปฐมวัย ในห้องเรียนรวม

ครูไม่ควรวินิจฉัย
  • การวินิจฉัย หมายถึงการตัดสินใจโดยดูจากอาการหรือสัญญาณบางอย่าง
  • จากอาการที่แสดงออกมานั้นอาจนำไปสู่ความเข้าใจผิดได้
  • ครูไม่ควรตั้งชื่อหรือระบุประเภทเด็ก
  • เกิดผลเสียมากกว่าผลดี
  • ชื่อเปรียบเสมือนตราประทับตัวเด็กตลอดไป
  • เด็กจะกลายเป็นเช่นนั้นจริงๆ
ครูไม่ควรบอกพ่อแม่ว่าเด็กมีบางอย่างผิดปกติ
  • พ่อแม่ของเด็กพิเศษ มักทราบดีว่าลูกของเขามีปัญหา
  • พ่อแม่ไม่ต้องการให้ครูมาย้ำในสิ่งที่เขารู้อยู่แล้ว
  • ครูควรพูดในสิ่งที่เป็นความคาดหวังในด้านบวก แต่ต้องไม่ให้เกิดความหวังผิดๆ
  • ครูควรรายงานผู้ปกครองว่าเด็กทำอะไรได้บ้าง เท่ากับเป็นการบอกว่าเด็กทำอะไรไม่ได้
  • ครูช่วยให้ผู้ปกครองมีความหวังและเห็นแนวทางที่จะช่วยให้เด็กพัฒนา
ครูทำอะไรบ้าง
  • ครูสามารถชี้ให้เห็นถึงพฤติกรรมของเด็กในเรื่องที่เกี่ยวกับพัฒนาการต่างๆ
  • ให้ข้อแนะนำในการหาบุคลากรที่เหมาะสมในการประเมินผลหรือวินิจฉัย
สังเกตเด็กอย่างมีระบบ
  • จดบันทึกพฤติกรรมเด็กเป็นช่วงๆ
สังเกตอย่างมีระบบ
  • ไม่มีใครสามารถสังเกตอย่างมีระบบได้ดีกว่าครู
  • ครูเห็นเด็กในสถานการณ์ต่างๆ ช่วงเวลายาวนานกว่า
  • ต่างจากแพทย์ นักจิตวิทยา นักคลินิก มักมุ่งความสนใจอยู่ที่ปัญหา
การตรวจสอบ
  • จะทราบว่าเด็กมีพฤติกรรมอย่างไร
  • เป็นแนวทางสำคัญที่ทำให้ครูและพ่อแม่เข้าใจเด็กดีขึ้น
  • บอกได้ว่าเรื่องใดบ้างที่เด็กต้องการความช่วยเหลือ
ข้อควรระวังในการปฏิบัติ
  • ครูต้องไวต่อความรู้สึกและตัดสินใจล่วงหน้าได้
  • ประเมินให้น้ำหนักความสำคัญของเรื่องต่างๆได้
  • พฤติกรรมบางอย่างของเด็กไม่ได้ปรากฏให้เห็นเสมอไป
การบันทึกการสังเกต
  • การนับอย่างง่ายๆ
  • การบันทึกต่อเนื่อง
  • การบันทึกไม่ต่อเนื่อง
การนับอย่างง่ายๆ
  • นับจำนวนครั้งของการเกิดพฤติกรรม
  • กี่ครั้งในแต่ละวัน กี่ครั้งในแต่ละชั่วโมง
  • ระยะเวลาในการเกิดพฤติกรรม
การบันทึกต่อเนื่อง
  • ให้รายละเอียดได้มาก
  • เขียนทุกอย่างที่เด็กทำในช่วงเวลาหนึ่ง หรือช่วงกิจกรรมหนึ่ง
  • โดยไม่ต้องเข้าไปแนะนำช่วยเหลือ
การบันทึกไม่ต่อเนื่อง
  • บันทึกลงบัตรเล็กๆ
  • เป็นการบันทึกสั้นๆเกี่ยวกับพฤติกรรมของเด็กแต่ละคนในช่วงเวลาหนึ่ง
การเกิดพฤติกรรมบางอย่างมากเกินไป
  • ควรเอาใจใส่ถึงระดับความมากน้อยของความบกพร่อง มากกว่าชนิดองความบกพร่อง
  • พฤติกรรมไม่เหมาะสมที่พบได้ในเด็กทุกคน ไม่ควรจัดเป็นสิ่งผิดปกติ
การตัดสินใจ
  • ครูต้องตัดสินใจด้วยความระมัดระวัง
  • พฤติกรรมของเด็กที่เกิดขึ้น ไปขัดขวางความสามารถในการเรียนรู้ของเด็กหรือไม่
กิจกรรมวาดภาพดอกบัว


ความรู้ที่ได้รับ
  • ได้รับความรู้ในเรื่องของการจัดการศึกษาให้กับเด็กพิเศษว่าเราควรจัดการศึกษาอย่างไรให้เหมาะสมกับพัฒนาการ รวบไปถึงบทบาทหน้าที่ของครู และการจัดบันทึก การตัดสินใจ
ประเมินเพื่อนร่วมห้อง
  • เพื่อนในห้องบางส่วนมีคุย เล่น และกินอาหารภายในห้องเรียน แต่โดยรวมมีความตั้งใจเรียนดี
ประเมินอาจารย์
  • อาจารย์เข้าสอนตรงเวลา เปิดโอกาสให้นักศึกษาได้แสดงความคิดเห็น มีเทคนิคการสอนที่หลากหลาย สอนเข้าใจง่าย มีกิจกรรมมาให้นักศึกษาทำ

Diary Note 23 March 2016

Diary Note No.7

ประกาศผลสอบกลางภาค
45 คะแนน รองอันดับ 2

วันอาทิตย์ที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2559

Diary Note 9 March 2016

Diary Note No.6


ประเภทของเด็กที่มีความต้องการพิเศษ


8.เด็กที่มีความบกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์ (Children with Behavioral and Emotion Disorders)


  • มีความรู้สึกนึกคิดที่ผิดไปจากปกติ
  • แสดงออกถึงความต้องการทำร้ายตนเองหรือผู้อื่น
  • มีความเชื่อมั่นในตนเองต่ำ
  • เด็กที่มีการควบคุมอารมณ์ให้อยู่ในสภาพปกตินานๆ ไม่ได้
  • เด็กที่ควบคุมพฤิตกรรมบางอย่างของตนเองไม่ได้
  • ทำให้ไม่สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างเรียบร้อย
ลักษณะของเด็กบกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์
  • ความวิตกกังวล (Anxiety) ซึ่งทำให้เด็ฏมีนิสัยขี้กลัว
  • ภาวะซึมเศร้า (Depression) มีความเศร้าในระดับที่สูงเกินไป
  • ปัญหาทางสุขภาพ และขาดแรงกระตุ้นหรือความหวังในชีวิต


การจำแนกเด็กที่มีความบกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์ตามกลุ่มอาการ
 
ด้านความประพฤติ (Conduct Disorders)
  • ทำร้ายผู้อื่น ทำลายสิ่งของ ลักทรัพย์
  • ฉุนเชียวง่าย หุนหันพลันแล่น และเกรี้ยวกราด
  • กลับกลอก เชื่อถือไม่ได้ ชอบโกหก ชอบโทษผู้อื่น
  • เอะอะและหยาบคาย
  • หนีเรียน รวมถึงหนีออกจากบ้าน
  • ใช้สารเสพติ
  • หมกมุ่นในกิจกรรมทางเพศ


ด้านความตั้งใจและสมาธิ (Attention and Concentration)
  • จดจ่ออยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งในระยะสั้น (Short attention span) อาจไม่เกิน 20 วินาที
  • ถูกสิ่งต่างๆ รอบตัวดึงความสนใจได้ตลอดเวลา
  • งัวเงีย ไม่แสดงความสนใจใดๆ รวมถึงมีท่าทางเหมือนไม่ฟังสิ่งที่ผู้อื่นพูด
สมาธิสั้น (Attention Deficit)
  • มีลักษณะกระวนกระวาย ไม่สามารถนั่งนิ่ง ได้ หยุกหยิกไปมา
  • พูดคุยตลอดเวลา มักรบกวนหรือเรียกร้องความสนใจจากผู้อื่น
  • มีทักษะการจัดการในระดับต่ำ
การถอนตัวหรือล้มเลิก (Withdrawal)
  • หลีกเลี่ยงการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น และมักรู้สึกว่าตนเองด้อยกว่าผู้อื่น
  • เฉื่อยชา และมีลักษณะคล้ายเหนื่อยตลอดเวลา
  • ขาดความมั่นใน ขี้อาย ขี้กลัว ไม่ค่อยแสดงความรู้สึก
* ไม่เคยมุ่งมั่นทำอะไรให้สำเร็จ


ความผิดปกติในการทำงานของร่างกาย (Function Disorder)
  • ความผิดปกติเกี่ยวกับพฤิตกรรมการกิน (Eating Disorder)
  • การอาเจียนโดยสมัครใจ (Voluntary Regurgitation)
  • การปฏิเสธที่จะรับประทาน
  • รับประทานสิ่งที่รับประทานไม่ได้
  • โรคอ้วน (Obesity)
  • ความผิดปกติของการขับถ่ายทั้งอุจาระและปัสสาวะ (Elimination Disorder)
ภาวะบกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์ระดับรุนแรง
  • ขาดเหตุผลในการคิด
  • อาการหลงผิด (Delusion)
  • อาการประสาทหลอน (Hallucination)
  • พฤติกรรมการทำร้ายตัวเอง
* คิดอะไรในหัวเยอะ


สาเหตุ
  • ปัจจัยทางชีวภาพ (Biology) เช่น ควาามผิดปกติทางร่างกาย
  • ปัจจัยทางจิตสังคม (Psycho social) เช่น พ่อแม่ทำร้ายร่างกาย


ผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อเด็ก
  • ไม่สามารถเรียนหนังสือได้เช่นเด็กปกติ
  • รักษาความสัมพันธ์กับเพื่อนหรือกับครูไม่ได้
  • มีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม เมื่อเทียบกับเด็กในวัยเดียวกัน
  • มีความคับข้องใจ มีความเก็บกดอารมณ์
  • แสดงอาการทางร่างกาย เช่น ปวดศีรษะ ปวดตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย
  • มีความหวาดกลัว
เด็กที่มีความบกพร่องทางพฤติกรรม ซึ่งจัดว่ามีความรุนแรงมาก
  • เด็กสมาธิสั้น (Children with Attention Deficit and Hyperactivity Disorders)
  • เด็กออทิสติก (Autistic) หรือ ออทิสซึ่ม (Autisum)
เด็กสมาธิสั้น (Children with Attention Deficit and Hyperactivity Disorders) ADHD


   ADHD เป็นภาวะผิดปกติทางจิตเวช มีลักษณะเด่นอยู่ 3 ประการ คือ
  1. Inattentiveness สมาธิสั้น
  2. Hyperactivity ซนอยู่ไม่นิ่ง
  3. Impulsiveness หุนหันพลันแล่น
Inattentiveness สมาธิสั้น
  •  ทำอะไรได้ไม่นาน วอกแวก ไม่มีสมาธิ
  • ไม่สามารถจดจ่อกับงานที่กำลังทำได้นานเพียงพอ
  • มักใจลอยหรือเหม่อลอยง่าย
  • เด็กเล็กๆ จะเล่นอะไรได้ไม่นาน เปลี่ยนของเล่นไปเรื่อยๆ
  • เด็กโตมักทำงานไม่เสร็จตามที่สั่ง ทำงานตกหล่น ไม่ครบ ไม่ละเอียด
Hyperactivity ซนอยู่ไม่นิ่ง
  • ซุกซนไม่ยอมอยู่นิ่ง ซนมาก
  • เคลื่อนไวอยู่ตลอดเวลา
  • เหลียวซ้ายแลขวา
  • ยุกยิกแกะโน่นเกานี่
  • อยู่ไม่สุข ปีนป่าย
  • นั่งไม่ติดที่
  • ชอบคุยส่งเสียงดังรบกวนคนรอบข้าง
Impulsiveness หุนหันพลันแล่น
  • ยับยั้งตัวเองไม่ค่อยได้ มักทำอะไรโดยไม่ยั้งคิด วู่วาม
  • ขาดความยับยั้งชั่งใจ
  • ไม่อดทนต่อการรอคอย หรือกฎระเบียบ
  • ไม่อยู่ในกติกา
  • ทำอะไรค่อนข้างรุนแรง
  • พูดโพล่ง ทะลุกลางปล้อง
  • ไม่รอคอยให้คนอื่นพูดจบก่อน ชอบมาสอดแทรกเวลาคนอื่นคุยกัน
สาเหตุ
  • ความผิดปกติของสารเคมีบางชนิดในสมอง เช่น โดปามีน (Dopamine) นอร์อิพิเนฟริน (Norepinephrine)
  • ความผิดปกติในการทำงานของวงจรที่ควบคุมสมาธิ และการตื่นตัวอยู่ที่สมองส่วนหน้า (Frontal Cortex)
  • พันธุกรรม
  • สิ่งแวดล้อมเป็นพิษ
 ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับสมาธิสั้น
  • สมาธิสั้น ไม่ได้เกิดจากความผิดปกติของพ่อแม่่ที่เลี้ยงดูลูกผิดวิธี ตามใจมากเกินไป หรือปล่อยปละละเลยจนเกินไป และไม่ใช่ความผิดของเด็กที่ไม่สนใจ ไม่ใส่ใจ แต่ปัญหาอยู่ที่การทำงานของสมองที่ควบคุมเรื่องสมาธิของเด็ก
 *เกิดจากการทำงานของสมอง


ยารักษาโรคสมาธิสั้นที่มีใช้ในประเทศไทย
   มี 2 กลุ่มหลัก ๆ
  1. Methylphenidate
  2. Atomoxetine

ลักษณะของเด็กที่มีความบกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์
  • อุจาระ ปัสสาวะรดเสื้อผ้า หรือที่นอน
  • ยังติดขวดนม หรือตุ๊กตา และของใช้ในวัยทารก
  • ดูดนิ้ว กัดเล็บ
  • หงอยเหงาเศร้าซึม การหนีสังคม
  • เรียกร้องความสนใจ
  • อารมณ์หวั่นไหวง่ายต่อสิ่งเร้า
  • ขึ้อิจฉาริษยา ก้าวร้าว
  • ฝันกลางวัน
  • พูดเพ้อเจ้อ
 9. เด็กพิการซ้อน (Children with Multiple Handicaps)
  • เด็กที่มีความบกพร่องที่มากว่าหนึ่งอย่าง เป็นเหตุให้เกิดปัญหาขัดข้องในการเรียนรู้อย่างมาก
  • เด็กปัญญาอ่อนที่สูญเสียการได้ยิน
  • เด็กปัญญาอ่อนที่ตาบอด
  • เด็กที่ทั้งหูหนวกและตาบอด
ความรู้ที่ได้รับ
  • ได้รับความรู้ในเรื่องของเด็กที่มีความบกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์และเด็กพิการซ้อน ว่ามีลักษณะเป็นอย่างไร อีกทั้ง ยังสามารถนำความรู้ที่ได้ไปประยุกต์ใช้ในการจัดการเรียนสอนให้เด็กที่มีความต้องการพิเศษ เพื่อเด็กนั้นได้เรียนรู้อย่างเต็มศักยภาพและตรงตามความต้องการ
ประเมินเพื่อนร่วมห้อง
  • เพื่อนในห้องบางส่วนมีคุย เล่น และกินอาหารภายในห้องเรียน แต่โดยรวมมีความตั้งใจเรียนดี
ประเมินอาจารย์
  • อาจารย์เข้าสอนตรงเวลา เปิดโอกาสให้นักศึกษาได้แสดงความคิดเห็น มีเทคนิคการสอนที่หลากหลาย เปิดวิดิโอให้นักศึกษาดู เพื่อให้นักศึกษานั้นได้เข้าใจยิ่งขึ้น

วันเสาร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

Diary Note 17 February 2016

Diary Note No.5

ประเภทของเด็กที่มีความต้องการพิเศษ

6.เด็กที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ (Children with Learning Disabilities)
  • เรียกย่อๆ ว่า L.D. (Learning Disabilities)
  • เด็กที่มีปัญหาทาการเรียนรู้เฉพาะอย่าง
  • ไม่นับรวมเด็กที่มีปัญหาเพียงเล็กน้อยทางการเรียน เด็กมีปัญหาเนื่องจากความพิการ หรือความบกพร่องทางร่างกาย
*ไม่ได้อยู่ในกลุ่มมบกพร่องทางสติปัญญา
*เหมือนคนปกติ

สาเหตุของ L.D.
  • ความผิดปกติของการทำงานของสมองที่ไม่สามารถถอดรหัสตัวอักษรออกมาได้ (เชื่อมโยงภาพตัวอักษรเข้ากับเสียงไม่ได้)
  • กรรมพันธุ์
* มองอะไรแล้วไม่สามารถวิเคราะห์ได้ เช่น อ่านออก เขียนไม่ได้
*IQ ไม่ได้ตำ่กว่าปกติ

1.ด้านการอ่าน (Reading Disorder)
  • อ่านหนังสือช้า ต้องสะกดทีละคำ
  • อ่านออกเสียงไม่ชัด ออกเสียงผิด หรืออาจข้ามคำที่อ่านไม่ได้ไปเลย
  • ไม่เข้าใจเนื้อหาที่อ่าน หรือจับใจความสำคัญไม่ได้
 ตัวอย่าง
  • จาน          --->          จาง/บา
  • ง่วง          --->          ม่วม/ม่ง/ง่ง
  • เลย          --->           เล
  • โบราณ      --->          โบรา
  • หนังสือ      --->         สือ
  • อรัญ          --->         อะรัย
ลักษณะของเด็ก L.D. ด้านการอ่าน
  • อ่านช้า อ่านคำต่อคำ ต้องสะกดคำจึงจะอ่านได้
  • อ่านออกเสียงไม่ชัดเจน
  •  เดาคำเวลาอ่าน
  • อ่านข้าม อ่านเพิ่มคำ อ่านผิดประโยคหรือผิดตำแหน่ง
  • อ่านโดยไม่เน้นคำ หรือเน้นข้อความบางตอน
  • ผันเสียงวรรณยุกต์ไม่ได้
  • ไม่รู้ความหมายของเรื่องที่อ่าน
  • เล่าเรื่องที่อ่านไม่ได้ จับใจความสำคัญไม่ได้
2.ด้านการเขียน (Writing Disorder)
  • เขียนตัวหนังสือผิด สับสนเรื่องการม้วนหัวอักษร เช่น ม เป็น น หรือจาก ภ เป็น ถ เป็นต้น
  • เขียนตามการออกเสียง เช่น ประเภท เขียนเป็น ประเพด
  • เขียนสลับ เช่น สถิติ เขียนเป็น สติถิ
 * L.D. วัดได้ตอนประถมศึกษา อนุบาลยังไม่สามารถวัดได้

ลักษณะของเด็ก L.D. ด้านการเขียน
  • ลากเส้นวนๆ ไม่รู้ว่าจะม้วนหัวเข้าในหรือออกนอก ขีดวนๆ ซ้ำๆ
  • เรียงลำดับอักษรผิด เช่น สถิติ เป็น สติถิ
  • เขียนพยัญชนะหรือตัวเลยสลับกัน
         เช่น  ม-น,ภ-ถ,ด-ค,พ-ผ,b-d,p-q,6-9 
  • เขียนพยัญชนะ ก-ฮ ไม่ได้แต่บอกให้เขียนเป็นตัวๆ ได้
  • เขียนพยัญชนะ หรือ ตัวเลขกลับด้าน คล้ายมองจากกระจกเงา
  • เขียนคำตามตัวสะกด เช่น เกษตร เป็น กะเสด
  • จับดินสอหรือปากกาแน่นมาก *เขียนกดแรง มีลอยลบบ่อยเวลาเขียน
  • สะกดคำผิด โดยเฉพาะคำพ้องเสียง ตัวสะกดแม่เดียวกัน ตัวการันต์
  • เขียนหนังสือช้า เพราะ กลัวสะกดผิด
  • เขียนไม่ตรงบรรทัด ขนาดตัวอักษรไม่เท่ากีน ไม่เว้นขอบ ไม่เว้นช่องไฟ
  • ลบบ่อยๆ เขียนทับคำเดิมหลายครั้ง
*อ่านหนังสือได้แต่เขียนไม่ได้
3.ด้านการคิดคำนวณ (Mathematics Disorder) 
  • ตัวเลขผิดลำดับ
  • ไม่เข้าในเรื่องราวการทดเลขหรือการยืมเลขเวลาทำการบวกหรือลบ
  • ไม่เข้าใจหลักเลขหน่วย สิบ ร้อย
  • แก้โจทย์ปัญาเลขไม่ได้
ลักษณะของเด็ก L.D. ด้านการคำนวณ
  • ไม่เข้าใจค่าของตัวเลขเช่นหลักหน่วยสือ ร้อย พัน หมื่น เป็นเท่าใด
  • นับเลขไปข้างหน้าหรือถอยหลังไม่ได้
  • คำนวณบวก ลบ คูณ หาร โดยการนับนิ้ว
  • จำสูตรคูณไม่ได้
  • เขียนเลขกลับกันเช่น 13 เป็น 31
  • ทดไม่เป็นยืมไม่เป็น
  • ตีโจทย์เลขไม่ออก
  • คำนวณเลขจากซ้ายไปขวาแทนที่จะทำจากขวาไปซ้าย
  • ไม่เข้าในเรื่องเวลา
 4.หลาย ๆ ด้านร่วมกัน เขียน/อ่าน/คำนวณ

 อาการที่มักเกิดร่วมกันกับ L.D. 
  • แยกแยะขนาดสีและรูปร่างไม่ออก
  • มีปัญหาความเข้าใจเกี่ยวกับเวลา
  • เขียน/อ่านตัวอักษรสลับซ้าย-ขวา
  • งุ่มง่ามการประสานงานของกล้ามเนื้อไม่ดี
  • การประสานงานของสายตา-กล้ามเนื้อไม่ดี 
  • สมาธิไม่ได้ (เด็ก L.D. ร้อยละ 15-20 มีสมาธิสั้น ADHD ร่วมด้วย)
  • เขียนตามแบบไม่ค่อยได้
  • ทำงานช้า
  • การวางแผนงานและจัดระบบไม่ดี
  • ฟังคำสั่งสับสน
  • คิดแบบนามธรรมหรือคิดแก้ปัญหาไม่ค่อยดี
  • ความคิดสับสนไม่เป็นขั้นตอน
  • ความจำระยะสั้น/ยาวไม่ดี
  • ถนัดซ้ายหรือถนัดทั้งซ้ายและขวา
  • ทำงานสับสนไม่เป็นข้ันตอน
 * L.D. จะพบในเด็กผู้ชาย มากกว่า เด็กผู้หญิง 2 เท่า
 * เด็กผู้ชาย ส่วนใหญ่จะเป็นด้านการ อ่าน เขียน  เด็กผู้หญิง จะเป็นด้าน การคำนวณ

7.ออทิสติก (Autistic)
  • หรือ ออทิซึ่ม (Autism)
  • เด็กที่ไม่สามารถมีปฏสัมพันธ์กับผู้อื่น
  • ไม่สามารถเข้าใจคำพูด ความรู้สึกและความต้องการของผู้อื่น
  • ไม่สามารถที่จะสื่อสารกับคนรอบข้างและสังคม
  • เด็กออทิสติกแต่ละคนจะมีเอกลักษณ์ของตนเอง
  • ติดตัวเด็กไปตลอดชีวิต
* ออทิสติกไม่สามารถรักษาได้ แต่บรรเทาอาการได้

"ไม่สบตา ไม่พาที ไม่ชี้นิ้ว"

วัด 4 ทักษะนี้
  • ทักษะภาษา
  • ทักษะทางสังคม
  • ทักษะการเคลื่อนไหว
  • ทักษะการรับรู้เกี่ยวกับรูปทรง ขนาดและพื้นที่
*เด็กออทิสติก จะต่ำทางภาษาและสังคม



 ลักษณะของเด็กออทิสติก
  • อยู่ในโลกของตนเอง *คิดอะไรในหัวเยอะ
  • ไม่เข้าไปหาใครเพื่อให้ปลอบใจ
  • ไม่เข้าไปเล่นในกลุ่มเพื่อน
  • ไม่ยอมพูด
  • เคลื่อนไหวแบบซ้ำๆ
  1. ดูหน้าแม่                --->                  ไม่มองตา
  2. หันไปตามเสียง     --->                     เหมือนหหูหนวก
  3. เรียนรู้คำพูดเพิ่มเติม    --->                เคยพูดได้ต่อมาหยุดพูด 
  4. ร้องเมื่อมีคนแปลกหน้าเข้าใกล้  --->    ไม่สนใจคนรอบข้าง
  5. จำหน้าแม่ได้         --->                    บางคนก็จำคนไม่ได้
  6. เปลี่ยนของเล่น       --->                   นั่งเล่นอย่างใดอย่างหนึ่ง
  7. เคลื่อนไหวอย่างมีจุดมุ่งหมาย   --->     มีพฤติกรรมแปลกๆ
  8. สำรวจและเล่นตุ๊กตา       --->             ดมหรือเลียตุ๊กตา
  9. ชอบความสุขและกลัวความเจ็บ   --->   ไม่รู้สึกเจ็บปวด ชอบทำร้ายตัวเอง และคนรอบข้าง
เกณฑ์การวินิจฉัยออทิสติกองค์การอนามัยโลกและสมาคมจิตแพทย์อเมริกา

ความผิดปกติของปฏิสัมพันธ์ทางสังคม อย่างน้อย 2 ข้อ
  • ไม่สามารถใช้ภาษาท่าทางสื่อสารทางสังคมกับบุคคลอื่น
  • ไม่สามารถสร้างสัมพันธ์ภาพกับบุคคลให้เหมาะสมตามวัย
  • ขาดความสามารถในการแสวงหาการมีกิจกรรม ความสนใจ และความสนุกสนานร่วมกับผู้อื่น
  • ขาดทักษะการสื่อสารทางสังและทางอารมณ์กับผู้อื่น
 ความผิดปกติด้านการสื่อสาร อย่างน้อย 1 ข้อ
  • มีความล่าช้าหรือไม่มีการพัฒนาในด้านภาษาพูด
  • ในรายที่สามารถพูดได้แต่ไม่สามารถที่จะเริ่มต้นบทสนทนาหรือโต้ตอบบทสนทนากับผู้อื่นได้อย่างเหมาะสม
  • พูดซ้ำๆ หรือมีรูปแบบจำกัดในการใช้ภาษา เพื่อสื่อสารหรือส่งเสียงไม่เป็นภาษาอย่างไม่เหมาะสม
  • ไม่สามารถเล่นสมมุติหรือลอกตามจินตนาการได้เหมาะสมกับระดับพัฒนาการ
 มีพฤติกรรม ความสนใจ และกิจกรรที่ซ้ำๆ และจำกัด อย่างน้อย 1 ข้อ 
  • มีความสนใจที่ซ้ำๆ อย่างผิดปกติ
  • มีกิจวัตรประจำวันหรือกฎเกณฑ์ที่ต้องทำไม่สามารถยืดหยุ่นได้ ถึงแม้ว่ากิจวัตรหรือกฎเกณฑ์นั้นจะไม่มีประโยชน์
  • มีการเคลื่อนไวร่างกายซ้ำๆ
  • สนในเพียงบางส่วนของวัตถุ
พฤติกรรมทำซ้ำ
  • นั่งเคาะโต๊ะ หรือโบกมือนานเป็นชั่วโมง
  • นั่งโยกหน้าโยกหลังเป็นเวลานาน
  • วิ่งเข้าห้องนี้ไปห้องโน้น
  • ไม่ยอมให้เปลี่ยนสิ่งแวดล้อม
พบความผิดปกติ อย่างน้อย 1 ด้าน (ก่อนอายุ 3 ขวบ) 
  • ปฏิสัมพันธ์ทางสังคม
  • การใช้ภาษาเพื่อสื่อความหมาย
  • การเล่นสมมติหรือการเล่นตามจินตนาการ
Autistic Savant ออทิสติกอัจฉริยะ
  • กลุ่มที่คิดด้วยภาพ (Visual Thinker)
    จะใช้การคิดแบบอุปนัย (Bottom up Thinking)
  • กลุ่มที่คิดโดยไม่ใช้ภาพ (Music,Math and Memory Thinker)
    จะใช้การคิดแบบนิรนัย (Top down Thinking)
*ออทิสติกอัจฉริยะจะพบได้แค่ 2 %

ความรู้ที่ได้รับ
  • ได้รับความรู้ในเรื่องของเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา ว่ามีสาเหตุมาจากอะไร แบ่งออกเป็นกี่ประเภทแล้วมีลักษณะอย่างไร อีกทั้งยังได้รับความรู้ในเรื่องของเด็กออทิสติกอีกด้วย
ประเมินเพื่อนร่วมห้อง
  • เพื่อนมีความตั้งใจเรียน แต่ยังมีการติดเล่น ติดคุยกันบ้าง เข้าเรียนตรงเวลา แต่งกายสุภาพเรียบร้อย
ประเมินอาจารย์
  • อาจารย์แต่งกายสุภาพเรียบร้อย มีเทคนิคการสอนที่หลากหลาย เปิดโอกาสให้นักศึกษาได้แสดงความคิดเห็น และมีส่วนร่วมในการทำกิจกรรมต่าง ๆ

วันศุกร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

Diary Note 2 February 2016

Diary Note No.4

ประเภทของเด็กที่มีความต้องการพิเศษ

4.เด็กที่มีความบกพร่องทางการพูดและภาษา (Children with Speech and Language Disorders)
     หมายถึง เด็กที่มีความบกพร่องซึ่งเกิดจากการพูดผิดปกติในด้านความชัดเจนในการปรับ ปรุงแต่งระดับและคุณภาพของเสียง จังหวะและขั้นตอนของเสียงพูด เช่น ปากแหว่งเพดานโหว่


  1.ความบกพร่องในด้านการปรุงเสียง (Articulator Disorders)
  • เสียงบางส่วนของคำขาดหายไป "ความ" เป็น "คาม"
  • ออกเสียงของตัวอื่นแทนตัวที่ถูกต้อง "กิน"  "จิน"  กวาด ฝาด
  • เพิ่มเสียงที่ไม่ใช่เสียงที่ถูกต้องลงไปด้วย "หกล้ม" เป็น "หก-กะ-ล้ม"
  • เสียงเพี้ยนหรือแปล่ง "แล้ว" เป็น "แล่ว"
  2.ความบอกพร่องของจังหวะและขั้นตอนของเสียงพูด (Speech Flow Disorders)
  • พูดไม่ถูกตามลำดับขั้นตอนไม่เป็นไปตามโครงนสร้างของภาษา 
  • การเว้นวรรคตอนไม่ถูกต้อง
  • อัตราการพูดเร็วหรือช้าเกินไป
  • จังหวะของเสียงพูดผิดปกติ
  • เสียงพูดขาดความต่อเนื่อง สละสลวย
  3.ความบกพร่องของเสียงพูด (Voice Disorders)
  • ความบกพร่องของระดับเสียง
  • เสียงดังหรือค่อยเกินไป
  • คุณภาพเสียงไม่ดี พูดแล้วไม่น่าฟัง
ความบกพร่องทางภาษา
     หมายถึง การขาดความสามารถที่จะเข้าใจความหมายของคำพูดและ/หรือไม่สามารถแสดงความคิดออกมาเป็นถ้อยคำได้


  1. การพัฒนาการทางภาษาช้ากว่าวัย (Delayed Language)
  • มีความยากลำบากในการใช้ภาษา
  • มีความผิดปกติของไวยากรณ์และโครงสร้างของประโยค
  • ไม่สามารถสร้างประโยคได้
  • มีความบกพร่องทางเชาว์ปัญญา อารมณ์ สมองผิดปกติ
  • ภาษาทีใช้เป็นภาษาห้วนๆ
  2.ความผิดปกติทางการพูดและภาษาอันเนื่องมากจากพยาธิภาพที่สมอง โดยทั่วไปเรียกว่า Dysphasia หรือ aphasia
  • อ่านไม่ออก (alexia) *โตแล้วก็ยังทำไม่ได้
  • เขียนไม่ได้ (agraphia) *โตแล้วก็ยังทำไม่ได้ 
  • สะกดคำไม่ได้
  • ใช้ภาษาสับสนยุ่งเหยิง
  • จำคำหรือประโยคไม่ได้
  • ไม่เข้าใจคำสั่ง
  • พูดตามหรือบอกชื่อสิ่งของไม่ได้
Gerstmann's syndrome *อาการหนักสุด !!
  • ไม่รู้จักชื่อนิ้ว (finger agnosia)
  • ไม่รู้ซ้ายขวา (allochiria) 
  • คำนวณไม่ได้ (acalculia)
  • เขียนไม่ได้ (agraphia)
  • อ่านไม่ออก (alexia)
ลักษณะของเด็กบกพร่องทางการพูดและภาษา
  • ในวัยทารกมักเงียบผิดธรรมชาติ ร้องไห้เบาๆ และอ่อนแรง
  • ไม่อ้อแอ้ภายในอายุ 10 เดือน
  • ไม่พูดภายในอายุ 2 ขวบ
  • หลัง 3 ขวบแล้วภาษาของเด็กก็ยังฟังเข้าใจยาก (เข้าใจอยู่คนเดียว)
  • ออกเสียงตัวสะกดไม่ได้
  • หลัง 5 ขวบ เด็กยังคงใช้ภาษาที่เปนประโยคไม่สมบูรณ์ในระดับประถมศึกษา
  • มีปัญหาในการสื่อความหมาย พูดตะกุกตะกัก
  • ใช้ท่าทางในการสื่อความหมาย (ใช้ภาษามือ)
5.เด็กที่มีความบกพร่องทางร่างกายและสุขภาพ (Children with Physical and Health Impairments)
  • เด็กที่มีอวัยวะไม่สมส่วน
  • อวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งหายไป (แขน ขา ขาด)
  • เจ็บป่วยเรื้อรังรุนแรง
  • มีปัญหาทางระบบประสาท (ไม่ใช่บ้า)
  • มีความลำบากในการเคลื่อนไหว (เดินกะเพก)
โรคลมชัก (Epilepsy)
  • เป็นลักษณะอาการที่เกิดเนื่องมาจากความผิดปกติของระบบสมอง
  • มีกระแสไฟฟ้าที่ผิดปกติและมากเกินไปปล่อยออกมาจากเซลล์สมองพร้อมกัน (สมองส่งกระแสกประสาทผิดเพี้ยน ยังไม่สามารถระบะสาเหตุได้ชัดเจน)
   1.การชักในช่วงเวลาสั้นๆ (Petit Mal)
  • อาการเหม่อนิ่งเป็นเวลา 5-10 วินาที
  • มีการกระพิบตาหรืออาจมีเคี้ยวปาก
  • เมื่อเกิดอาการชักเด็กจะหยุดชะงักในท่าก่อนชัก 
  • เด็กจะนั่งเฉย หรือเด็กอาจจะตัวสั่นเล็กน้อย
  2.การชักแบบรุนแรง (Grand Mal)
  • เมื่อเกิดอาการชัก เด็กจะส่งเสียง หมดความรู้สึก ล้มลง กล้ามเนื้อเกร็ง เกิดขึ้นราว 2-5 นาที จากนั้นจะหายและนอนไปชั่วครู (บางคนอาจกรีดร้อง หรือ เกร็ง)
   3.อาการชักแบบ (Partial Complex)
  • มีอาการประมาณไม่เกิน 3 นาที
  • เหม่อนิ่ง
  • เหมือนรู้สึกตัวแต่ไม่รับรู้ไม่ตอบสนองต่อคำพูด
  • หลักชักอาจจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้ และต้องการนอนพัก (หน้าตาเหมือนเมาเหล้าเวลาชัก)
   4.อาการไม่รู้สึกตัว (Focal Partial)
  • เป็นอาการที่เกิดขึ้นในระยะสั้น เด็กไม่รู้สึกตัว อาจทำอะไรบางอย่างโดยที่ตัวเองไม่รู้ เช่น ร้องเพลง ดึงเสื้อผ้า เดินเหม่อลอย แต่ไม่มีอาการชัก
   5.ล้มบ้าหมู (Grand Mal)
  • เมื่อเกิดอาการชักจะทำให้หมดสติ และหมดความรู้สึกในขณะชักกล้ามเนื้อเกร็งหรือแขนขากระตุก กัดฟัน กัดลิ้น
การปฐมพยาบาลขั้นพื้นฐานในกรณีเด็กมีอาการชัก
  • จับเด็กนอนตะแคงขวาบนพื้นราบที่ไม่มีของแข็ง
  • ไม่จับยึดตัวเด็กขณะชัก
  • หาหมอนหรือสิ่งนุ่มๆ รองศีรษะ
  • ดูดน้ำลาย เสมหะ เศษอาหารออกจากปาก เพื่อให้ทางเดินหายใจโล่ง
  • จัดเสื้อผ้าเด็กให้หลวม
  • ห้ามนำวัตถุใดๆ ใส่ในปาก
  • ทำการช่วยหายใจดดยวิธีการเป่าปากหากเด็กหยุดหายใจ
 ซี.พี. (Cerebral  Palsy)
  • การเป็นอัมพาตเนื่องจากระบบประสาทสมองพิการ หรือเป็นผลมาจากสมองที่กำลังพัฒนาถูกทำลายก่อนคลอด ระหว่างคลอด หรือ หลังคลอด
  • การเคลื่อนไหว การพูด พัฒนาการล่าช้า เด็กซีพี มีความบกพร่องที่เกิดจากส่วนต่างๆ ของสมองแตกต่างกัน (ไม่ส่งผลต่อ IQ)
  1.กลุ่มแข็งเกร็ง (Spasitc)
  • Spastic hemiplegia อัมพาตครึ่งซีก (แขนขวา ขาขวา , แขนซ้าย ขาซ้าย)
  • Spastic dipleagia อัมพาตครึ่งท่อนบน (แขนขวา , แขนซ้าย)
  • Spasitc paraplegia อัมพาตครึ่งท่อนล่าง (ขาขวา , ขาซ้าย)
  • Spastic quadriplegia อัมพาตทั้งตัว
  2.กลุ่มที่มีการเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นเอง (Athetoid , Ataxia)
  • Athetoid อาการขยุกขยิกช้าๆ หรือ เคลื่อนไวเร็วๆ ที่เท้า แขน มือ หรือ ใบหน้าของเด็กบางรายอาจจมีคอเอียงปากเบี้ยวร่วมด้วย
  • Ataxia มีความผิดปกติในการทรงตัวของร่างกาย กล้ามเนื้อทำงานไม่ประสานกัน
  3.กลุ่มอาการแบบผสม (Mixed)


กล้ามเนื้ออ่อนแรง (Muscular Distrophy)
  • เกิดจากเส้นประสาทสมองที่ควบคุมกล้ามเนื้อส่วนๆนั้น เสื่อมสลายตัว
  • เดินไม่ได้ นั่งไม่ได้ นอนอยู่กับที่
  • จะมีความพิการซ้อนในระยะหลัง คือ ความจำแย่ลง สติปัญญาเสื่อม
โรงทางระบบกระดูกกล้ามเนื้อ (Orthopedic)
     ระบบกระดูกกล้ามเนื้อพิการแต่กำเนิด เช่น เท้าปุก (Club Foot) สามารถรักษาได้ กระดูกข้อสะโพกเคลื่อน อัมพาตครึ่งท่อนเนื่องจากกระดูกไขสันหลังส่วนล่างไม่ติด (Spina Bifida)
  • ระบบกระดูกกล้ามเนื้อพิการดูกพิการด้วยโรคติดเชื้อ (Infection)  เช่น วัณโรค กระดูกหลังโกง กระพูกผุ เป้นแผลเรื้อรังมีหนอง เศษกระดูกผุ
  • กระดูกหัก ข้อเคลื่อน ข้ออักเสบ
โอลิโอ (Poliomyelitis)
  • มีอาการกล้ามเนื้อลีบเล็ก แต่ไม่มีผลกระทบต่อสติปัญญา
  • ยืนไม่ได้ หรืออาจปรับสภาพให้ยืนเดินได้ด้วยอุปกรณ์เสริม
  • ประเทศไทย ภาคอีสารเป็นเยอะที่สุด
โรคระบบทางเดินหายใจ
โรคเบาหวาน (Diabetes Mellitus)
โรคหัวใจ (Cardiac Conditions)
โรคมะเร็ง (Cancer)
เลือดไหลไม่หยุด (Hemophilia)
แขนขาด้วนตั้งแต่กำเนิด (Limb Deficiency)


ลักษณะของเด็กบกพร่องทางร่างกายและสุขภาพ
  • มีปัญหาเกี่ยวกับการทรงตัว
  • ท่าเดินคล้ายกรรไกร
  • เดินกะเผลกขา หรืออืดอาดเชื่องช้า
  • ไอเสียงแห้งบ่อยๆ
  • มักบ่นเจ็บหน้าอก บ่นปวดหลัง
  • หน้าแดงง่าย มีสีเขียวจากบนแก้ม ริมฝีปากหรือปลายนิ้ว
  • หกล้มบ่อยๆ
  • หิวและกระกายน้ำอย่างเกินกว่าเหตุ
ความรู้ที่ได้รับ
  • ได้รับความรู้ในเรื่องของเด็กที่มีความต้องการพิเศษ เช่น เด็กที่มีความบกพร่องทางการพูดและภาษา เด็กที่มีความบกพร่องทางร่างกายและสุขภาพ ว่ามีลักษะอาการเป็นอย่างไร
ประเมินเพื่อนร่วมห้อง
  • เพื่อนมีความตั้งใจเรียน มีส่วนร่วมในการทำกิจกรรมต่าง ๆ แต่ในวันนี้ดิฉันเข้าเรียนสาย จึงทำให้ไม่ได้ดาว
ประเมินอาจารย์
  • อาจารย์สอนเข้าใจง่าย มีการยกตัวอย่างให้นักศึกษาเสมอ เปิดโอกาสให้เด็กได้ตอบคำถาม มีเทคนิคการสอนที่หลากหลาย และมีการเสริมแรง

วันเสาร์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2559

Diary Note 27 January 2016

Diary Note No.3

ประเภทของเด็กที่มีความต้องการพิเศษ

แบ่งได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ
     1. กลุ่มเด็กที่มีลักษะทางความสามารถสูง มีความเป็นเลิศทางสติปัญญา เรียกโดยทั่ว ๆ ไปว่า "เด็กปัญญาเลิศ"

เด็กปัญญาเลิศ (Gifted Child)

  • เด็กที่มีความสามารถทางสติปัญา
  • มีความถนัดเฉพาะทางสูงกว่าเด็กในวัยเดียวกัน
ลักษณะของเด็กปัญญาเลิศ
  • พัฒนาการทางร่างกายและจิตใจสูงกว่าเด็กในวัยเดียวกัน
  • เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย
  • อยากรู้อยากเห็นอย่างจริงจัง ชอบซักถาม
  • มีเหตุผลในการแก้ปัญหา การใช้สามัญสำนึก
  • จดจำได้รวดเร็วแม่นยำ
  • มีความรู้ ใช้คำศัพท์เกินวัย
  • มีความคิดริเริ่ม มีวิธีการคิดและแนวคิดแปลก ๆ 
  • เป็น้คนตื่นตัว เฉียบแหลม ว่องไว และช่างสังเกต
  • มีแรงจูงใจ และมีความมานะบากบั่นมีความจริงจังในการทำงาน
  • ชอบแสวงหาสิ่งท้าทายความคิดความอ่าน
เด็กฉลาด
  • ตอบคำถาม
  • สนใจเรื่องที่ครูสนอ
  • ชอบอยู่กับเด็กอายุเท่ากัน
  • ความจำดี
  • เรียนรู้ง่ายและเร็ว
  • เป็นผู้ฟังที่ดี
  • พอใจในผลงานของตน
Gifted
  • ตั้งคำถาม
  • เรียนรู้สิ่งที่สนใจ
  • ชอบอยู่กับผู้ใหญ่หรือเด็กที่โตกว่า
  • อยากรู้อยากเห็น ชอบคาดคะเน
  • เบื่อง่าย
  • ชอบเล่า
  • ติเตียนผลงานของตน
     2. กลุ่มเด็กที่มีลักษณะทางความบกพร่อง
  1. เด็กที่บกพร่องทางสติปัญญา
  2. เด็กที่บกพร่องทางการได้ยิน
  3. เด็กที่บกพร่องทางการเห็น
  4. เด็กที่บกพร่องทางร่างกายและสุขภาพ
  5. เด็กที่บกพร่องทางการพูดและภาษา
  6. เด็กที่บกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์
  7. เด็กที่บกพร่องทางการเรียนรู้
  8. เด็กออทิสตก
  9. เด็กพิการซ้อน
เด็กที่บกพร่องทางสติปัญญา (Children with Intellectual Disabilities)
     หมายถึง เด็กที่มีระดับสติปัญญาหรือเชาว์ปัญญาต่ำกว่าเกณฑ์เฉลี่ยเมื่อเทียบเด็กในระดับอายุเดียวกัน มี 2 กลุ่ม คือ เด็กเรียนช้า และ เด็กปัญญาอ่อน

เด็กเรียนช้า
  • สามารถเรียนในชั้นเรียนปกติได้
  • เด็กที่มีความสามารถในการเรียนล่าช้ากว่าเด็กปกติ
  • ขาดทักษะในการเรียนรู้
  • มีความบกพร่องทางสติปัญญาเพียงเล็กน้อย
  • มีระดับสติปัญญา (IQ) ประมาณ 71-90
สาเหตุของการเรียนช้า

     1. ภายนอก 
  • เศรษฐกิจของครอบครัว
  • การสร้างเสริมประสบการณ์ให้แก่เด็ก
  • สภาะวะทางด้านอารณ์ของคนในครอบครัว
  • การเข้าเรียนไม่สม่ำเสมอ
  • วิธีการสอนไม่มีประสิทธิภาพ
     2. ภายใน
  • พัฒนาการช้า
  • การเจ็บป่วย
เด็กปัญญาอ่อน
  • ระดับสติปัญญาต่ำ
  • พัฒนาการล่าช้าไม่เหมาะสมกับวัย
  • มีพฤติกรรมการปรับตนบกพร่อง 
  • อาการแสดงก่อนอายุ 18
พฤติกรรมการปรับตน
  • การสื่อความหมาย
  • การดูแลตนเอง
  • การดำรงชีวิตภายในบ้าน
  • การปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นในสังคม
  • การใช้แหล่งทรัพยากรในชุมชน
  • การควบคุมตนเอง
  • การนำความรู้มาใช้ในชีวิตประจำวัน
  • การใช้เวลาว่าง
  • การทำงาน 
  • การมีสุขอนามัยและความปลอดภัยเบื้องต้น
เด็กปัญญาอ่อน แบ่งตามระดับสติปัญญา (IQ) ได้ 4 กลุ่ม
     1.เด็กปัญญาอ่อนขนาดหนักมาก IQ ต่ำกว่า 20
  • ไม่สามารถเรียนรู้ทักษะด้านต่าง ๆ ได้เลย
  • ต้องการเฉพาะการดูแลรักษาพยาบาลเท่านั้น
  • แขนขาลีบ
     2. เด็กปัญญาอ่อนขนาดหนัก IQ 20-34 C.M.R
  • ไม่สามารถเรียนได้ ต้องการเฉพาะการฝึกหัดการช่วยเหลือตัวเองในกิจวัตรประจำวันเบื้อต้นง่าย ๆ 
  • กลุ่มนี้เรียกโดยทั่วไปว่า  C.M.R (Custodial Mental Retardation)
     3. เด็กปัญญาอ่อนขนาดปานกลาง IQ 35-49 T.M.R
  • พอที่จะฝึกอบรมและเรียนทักษะเบื้องต้นง่าย ๆ ได้
  • สามารถฝึกอาชีพ หรือทำงานง่าย ๆ ที่ไม่ต้องใช้ความละเอียดลออได้
  • เรียกโดยทั่วไปว่า T.M.R (Trainable Mentally Retarded)
     4. เด็กปัญญาอ่อนขนาดน้อย IQ 50-70 E.M.R
  • เรียนในระดับประถมศึกษาได้
  • สามารถฝึกอีพและงานง่าย ๆ ได้
  • เรียกโดยทั่ว ๆ ไปว่า E.M.R (Educable Mentally Retarded)
ลักษณะของเด็กที่บกพร่องทางสติปัญญา
  • ไม่พูด หรือพูดได้ไม่สมวัย
  • ช่วงความสนใจสั้น วอกแวก
  • ความคิด และอารมณ์ เปลี่ยนแปลงว่าย รอคอยไมม่ได้
  • ทำงานช้า
  • รุนแรง ไม่มีเหตุผลงอวัยวะบางส่วนมีรูปร่างผิดปกติ กล้ามเนื้อทำงานไม่ประสานกัน
  • ช่วยตนเองได้น้อยกว่าเด็กในวัยเดียวกัน
ดาวน์ซินโดรม Down Syndrome

สาเหตุ
  • ความผิดปกติของโครโมโซมคู่ที่ 21
  • ที่พบบ่อยคือโครโมโซมคู่ที่ 21 เกินมา 1 แท่ง (Trisomy 21 )
อาการ
  • ศีรษะเล็กและเบน คอสั้น
  • หน้าแบน ดั้งจมูกแบน
  • ตาเฉียงขึ้น ปากเล็ก
  • ใบหูเล็กและอยู่ต่ำ รูหูส่วนนอกจะตีบกว่าปกติ
  • เพดานปากโค้งนูน ขากรรไกรบนไม่เจริญเติบโต
  • ช่องปากแคบ ลื้นยื่น ฟันขึ้นช้าและไม่เป็นระเบียบ
  • มือแบนกว้าง นิ้วมือสั้น
  • เส้นลายมือตัดขวง นิ้วก้อยโค้งงอ
  • ช่องระหว่างนิ้วเท้าที่ 1 และ 2 กว้าง
  • มีความผิดปกติในระบบต่าง ๆ ของร่างกาย
  • บกพร่องทางสิตปัญญาระดับเล็กน้อยถึงปานกลาง
  • อารมณ์ดีเลี้ยงง่าย ร่าเริง เป็นมิตร
  • มีปัญหาในการใช้ภาาษาและการพูด
  • อวัยวะเพศมักเจริญเติบโตไม่เต็มที่ทั้งในชายและหญิง
  • เป็นหมันในเพศชาย
  • ผู้หญิงสามารถท้องได้
การตรวจวินิจฉัยก่อนกลุ่มอาการดาวน์
  • การเจาะเลือของมารดาในระหว่างที่ตั้งครรภ์
  • อัลตราซาวด์
  • การตัดชิ้นเนื้อรก
  • การเจาะน้ำคร่ำ
เด็กที่บกพร่องทางการได้ยิน (Children with Hearing Impaired)
     หมายถึง เด็กที่มีความบกพร่อง หรือสูญเสียการได้ยิน เป็นเหตุให้การรับฟังเสียงต่าง ๆ ได้ไม่ชัดเจน มี 2 ประเภท คือ เด็กหูตึง และ เด็กหูหนวก

เด็กหูตึง
     หมายถึง เด็กที่สูญเสียการได้ยิน แต่สามารถรับข้อมูลได้ โดยใช้เครื่องช่วยฟัง จำแนกกลุ่มย่อยได้ 4 กลุ่ม

     1. เด็กหูตึงระดับน้อย ได้ยินตั้งแต่ 26-40 dB
เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังเสียงเบา ๆ เช่น เสียงกระซิบหรือเสียงที่ไกล ๆ 
     2. เด็กหูตึงระดับปานกลาง ได้ยินตั้งแต่ 41-55 dB
  • เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังเสียงพูดคุยที่ตั้งใจในระดับปกติในระยะห่าง 3-5 ฟุต และไม่เห็นหน้าผู้พูด
  • จะไม่ได้ยิน ได้ยินไม่ชัด จับใจความไม่ได้
  • มีปัญหาในการพูดเล็กน้อย เช่น พูดไมัด ออกเสียงเพี้ยน
  • พูดเสียงเบา หรือเสียงผิดปกติ
     3. เด็กหูตึงระดับมาก ได้ยินตั้งแต่ 56-70 dB
  • เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังและเข้าใจคำพูด
  • เมื่อพูดคุยกันด้วยเสียงดังเต็มที่ก็ยังไม่ได้ยิน
  • มีปัญหาในการรับฟังเสียงหลายเสียงพร้อมกัน
  • มีพัฒนาการทางภาษาและการพูดช้ากว่าปกติ
  • พูดไม่ชัด เสียงเพี้ยง บางคนไม่พูด
    4. เด็กหูตึงระดับรุนแรง ได้ยินตั้งแต่ 71-90 dB
  • เด้กจะมีปัญหาในการรับฟังเสียงและการเข้าใจคำพูดอย่างมาก
  • ได้ยินเฉพาะเสียงดังใกล้หูในระยะ 1 ฟุต
  • การพูดคุยด้วยต้องตะโกนหรือใช้เครื่องขยายเสียง 
  • เด็กจะมีปัญาในการแยกเสียง
  • เด็กมักพูดไม่ชัดและมีเสียงผิดปกติ บางคนไม่พูด
เด็กหูหนวก
  • เด็กที่สูญเสียการได้ยินมากถึงขนาดที่ทำให้หมดโอกาสที่จะเข้าใจภาษาพูดจากการได้ยิน
  • เครื่องช่วยฟังไม่สามารถช่วยได้
  • ไม่สามารถเข้าใจหรือใช้ภาษาพูดได้
  • ระดับการได้ยินตั้งแต่ 91 dB ขึ้นไป
ลักษะของเด็กที่บกพร่องทางการได้ยิน
  • ไม่ตอบสนองเสียงพูด เสียงดนตรี มักตะแคงหูฟัง
  • ไม่พูด มักแสดงท่าทาง
  • พูดไม่ถูกหลักไวยากรณ์
  • พูด้วยเสียงแปลก มักเปล่งเสียงสูง
  • พูดด้วยเสียงต่ำหรือด้วยเสียงที่ดังเกิดความจำเป็น
  • เวลาฟังมักจะมองปากของผู้พูด หรือจ้องหน้าผู้พูด
  • รู้สึกไวต่อการสั่นสะเทือน และการเคลื่อนไหวรอบตัว
  • มักทำหน้าที่เด๋อเมื่อมีการพูดด้วย
เด็กที่บกพร่องทางการเห็น (Children with Visual Impairments)
  • เด็กที่มองไม่เห็นหรือพอเห็นแสง เห็นเลือนราง
  • มีความบกพร่องทางสายตาทั้งสองช้าง
  • สามารถเห็นได้ไม่ถึง 1-10 ของคนสายตาปกติ
  • มีลานสายตากว้าไม่เกิน 30 องศา
จำแนกได้เป็น 2 ประเภท คือ เด็กตาบอด และ เด็กตาบอดไม่สนิท

เด็กตาบอด
  • เด็กที่ไม่สามารถมองเห็นได้เลย หรือมองเห็นบ้าง
  •  ต้องใช้ประสาทสัมผัสอื่นในการเรียนรู้
  • มีสายตาข้างดีมองเห็นได้ในระยะ 6/60, 20-200 ลงมาถึงจนบอดสนิท
  • มีลานสายตาโดยเฉลี่ยอย่างสูงสุดแคบกว่า 5 องศา
* คนปกติจะมีลานสายตา 160 องศา ที่จะมองเห็นได้

เด็กตาบอดไม่สนิท
  • เด็กที่มีความบกพร่องทางสายตา
  • สามารถมองเห็นบ้างแต่ไม่เท่ากับเด็กปกติ
  • เมื่อทดสอบสายตาข้างดีจะอยู่ในระดับ 6/18, 20-60, 6/60 ,20-200 หรือน้อยกว่านั้น
  • มีลานสายตาโดยเฉลี่ยสูงสุดกว้างไม่เกิน 30 องศา
ลักษะของเด็กบกพร่องทางการเห็น
  • เดินงุ่มง่าม ซนและสะดุดวัตถุ
  • มองเห็นสีผิดไปจากปกติ
  • มักบ่นว่าปวดศีรษะ คลื่นไส้ ตาลาย คันตา
  • กัมศีรษะชิดกับงาน หรือของเล่นที่วางอยู่ตรงหน้า
  • เพ่งตา หรี่ตา หรือปิดตาข้างหนึ่ง เมื่อใช้สายตา
  • ตาและมือไม่สัมพันธ์กัน
  • มีความลำบากในการจำ และแยกแยะสิ่งที่เป็นรูปร่างทางเรขาคณิต
ความรู้ที่ได้รับ
  • ได้รับความรู้ในเรื่องของเด็กที่มีความต้องการพิเศษ เด้กปัญญาเลิศ เด็กปัญญาอ่อน เด็กที่มีความบกพร่องในลักษณะต่าง ๆ เด็กตาบอด เด็กตาบอดไม่สนิท เด็กหูตึง เด็กหูหนวก
ประเมินเพื่อนร่วมห้อง
  • เพื่อนโดยรวมมีความตั้งใจเรียน ตั้งใจทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้ดี มีส่วนร่วมในการเรียนการสอน
ประเมินอาจารย์
  • อาจารย์เข้าสอนเต็มเวลา มีการยกตัวอย่างให้นักศึกษาดูเพื่อให้เข้าใจง่าย มีเทคนิคการสอนที่หลากหลาย